สระแก้วรับไม้ต่อจัดสองล้อชิงแชมป์ประเทศไทยสนาม3
สระแก้ว รับไม้ต่อจากเทศบาลตำบลทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานประเภทถนนและเสือภูเขาชิงแชมป์ประเทศไทยฯ ประจำปี 2568 สนามที่ 3 ระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภาคม 2568 ด้าน “เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรีเผยสมาคมกีฬาจักรยานฯ ยังคงเดินหน้าทำการคัดเลือกนักปั่นถนนรุ่นเยาวชน อายุ 14-17 ปี เป็นตัวแทนทีมชาติไทยไปแข่งขันเอเชี่ยนยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 ที่ประเทศบาห์เรน ในช่วงเดือนตุลาคมนี้
สมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลคลองน้ำใส, นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว และเทศบาลเมืองอรัญญประเทศ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จัดการแข่งขันจักรยานประเภทถนนชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์ภูมิพล” และจักรยานประเภทเสือภูเขาชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2568 สนามที่ 3 ระหว่างวันที่ 9-11 พฤษภาคม 2568
“เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี รองประธานสมาพันธ์จักรยานแห่งเอเชีย (เอซีซี), ประธานสหพันธ์จักรยานแห่งอาเซียน (เอซีเอฟ), รองประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ และนายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า สำหรับอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว จะรับไม้ต่อจากเทศบาลตำบลทับไทร อำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี ที่เป็นเจ้าภาพสนามที่ 2 ระหว่างวันที่ 25-27 เมษายน ซึ่งทิ้งระยะห่างกันเพียง 2 สัปดาห์ โดยประเภทถนนจะใช้เส้นทางภายในนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว และเส้นทางในอำเภออรัญประเทศ ส่วนประเภทเสือภูเขาใช้เส้นทางที่เขาน้อยสีชมพู ตำบลคลองน้ำใส ซึ่งสมาคมฯ ก็จะใช้การแข่งขันสนามที่ 3 นี้ พิจารณาคัดเลือกนักกีฬาเยาวชนประเภทถนนที่มีผลงานโดดเด่นและทำเวลาดีมาเป็นนักกีฬาทีมชาติไทยเพื่อไปแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนยูธเกมส์ ครั้งที่ 3 ที่ประเทศบาห์เรน ระหว่างวันที่ 21-31 ตุลาคม เช่นเดียวกับการแข่งขันสนามที่ 2 ดังนั้นนักกีฬาเยาวชนที่มีอายุ 14-17 ปี หรือเกิดระหว่าง พ.ศ.2551-2554 ต้องเตรียมตัวฝึกซ้อมให้ดี หากผลงานดีและโดดเด่นก็มีโอกาสติดทีมชาติไทย
นายกสองล้อไทย กล่าวอีกว่า หลังจากการแข่งขันสนามที่ 3 ที่จังหวัดสระแก้ว ก็เป็นจังหวัดพิจิตรที่จะรับช่วงต่อในการจัดแข่งขันสนามที่ 4 ระหว่างวันที่ 6-8 มิถุนายน โดยประเภทถนนแข่งขันที่สนามจักรยานสราญจิตมงคลสุข ภายในบึงสีไฟเฉลิมพระเกียรติฯ ส่วนประเภทเสือภูเขาแข่งขันที่ที่อำเภอสากเหล็ก และปิดท้ายสนามที่ 5 จะแข่งขันที่เขื่อนภูมิพล อำเภอสามเงา จังหวัดตาก ระหว่างวันที่ 8-10 สิงหาคม ทั้งประเภทถนนและเสือภูเขา
พลเอกเดชา กล่าวต่อไปว่า สำหรับจังหวัดสระแก้วเพิ่งผ่านการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานทางไกลนานาชาติ “ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025” เมื่อวันที่ 24 มีนาคม-2 เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ทั้งด้านการบริหารจัดการแข่งขัน ด้านการดูแลต้อนรับ จนได้รับคำชื่นชมจากนักกีฬาต่างชาติทุกทีม รวมไปถึง มร.เฟรดริก ชาน หัวหน้าผู้ตัดสินนานาชาติชาวฮ่องกง ก็ชื่นชมว่าจัดการแข่งขันได้อย่างดีเยี่ยมและทำได้สูงเกินกว่ามาตรฐาน โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงและตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว ตลอดจนหน่วยงานราชการ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และมูลนิธิต่าง ๆ ส่งผลให้การแข่งขันเป็นไปอย่างราบรื่น ดังนั้นจึงเชื่อมั่นได้ว่าการแข่งขันจักรยานชิงแชมป์ประเทศไทยฯ สนามที่ 3 บรรดานักปั่นที่เดินทางจากทั่วประเทศจะได้รับการดูแลต้อนรับ และการรักษาความปลอดภัยอย่างดียิ่งจากจังหวัดสระแก้ว
“ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นกับจังหวัดสระแก้วที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือเศรษฐกิจดีขึ้น เนื่องจากการแข่งขันจักรยานประเภทถนนและเสือภูเขาชิงแชมป์ประเทศไทยฯ จะมีนักกีฬาและผู้ติดตามเดินทางไปยังอำเภออรัญประเทศเกือบ 2,000 คน ต้องมีการจับจ่ายใช้สอย ซื้อของกินของใช้ บรรดาร้านอาหาร พ่อค้าแม่ค้าในชุมชนต่างก็มีรายได้มากขึ้น โรงแรมที่พักก็เต็มเกือบทุกแห่ง ขณะเดียวกันแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม, อุทยานแห่งชาติปางสีดา หรือตลาดโรงเกลือ ก็จะมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากกว่าเดิม หลังจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันจักรยานทางไกล ทัวร์ ออฟ ไทยแลนด์ 2025 ออกไปทั่วโลก ก็มีการเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น” พลเอกเดชา กล่าวในที่สุด
สำหรับผู้ที่สนใจสมัครเข้าร่วมการแข่งขันจักรยานประเภทถนนและเสือภูเขาชิงแชมป์ประเทศไทย ชิงถ้วยพระราชทานฯ ประจำปี 2568 สนามที่ 3 สามารถสมัครได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ www.thaicycling.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน ถึงวันที่ 7 พฤษภาคม เวลา 12.00 น. หรือสมัครได้ที่กองอำนวยการก่อนแข่งขัน 1 วัน ประเภทถนนที่สำนักงานนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ประเภทเสือภูเขาที่ข้างองค์การบริหารส่วนตำบลคลองน้ำใส โดยติดตามรายละเอียดที่เฟซบุ๊กของสมาคมฯ Thailand cycling Association หรือสอบถามได้ที่ โทร.0-2719-3340-2 ในวันและเวลาราชการ
