20 Dec 2024

สถิติที่น่าสนใจในเดือนพฤษภาคมของพีจีเอทัวร์

pga04062402

รอรี แม็คอิลรอย (ภาพ: Getty Images)

‘ชาฟเฟเล-แม็คอิลรอย-เพนดริธ-กอทเทอร์อัพ-ไรลีย์’ ฉลองชัยชื่นมื่น

ซานเดอร์ ชาฟเฟเล ปลดล็อคคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในอาชีพ ซึ่งนอกจากการตี 62 ในรอบแรกซึ่งเป็นสถิติสกอร์ต่ำสุดในการออกสตาร์ทรายการเมเจอร์ ชาฟเฟเล ยังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการหวดไม่เกิน 68 ในการแข่งขันอีกสามรอบ บนสนามที่ยากและยาว 7,609 หลา ทั้งนี้มีนักกอล์ฟที่คว้าแชมป์พีจีเอ แชมเปียนชิพ เพียง 5 คนที่ทำได้แบบนี้นับตั้งแต่ปี 1958 และไม่มีนักกอล์ฟคนใดทำได้เลยนับตั้งแต่ จิมมี่ วอล์กเกอร์ สร้างผลงานไว้ในปี 2016

          ถึงคิวของชาฟเฟเลที่ปลดล็อคซิวแชมป์เมเจอร์ครั้งแรกในอาชีพด้วยสกอร์รวม 21 อันเดอร์พาร์ 263 ทุบสถิติแชมป์สกอร์รวมต่ำสุดของการแข่งขันระดับเมเจอร์ ทำลายสถิติเดิมที่บรู๊คส์ เคปก้า ทำไว้ ขณะเดียวกันยังเป็นการลงแข่งรายการเมเจอร์ครั้งที่ 28 ของชาฟเฟเล และชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นการจบในท็อปเท็นเป็นครั้งที่ 13 ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็น “ลักกี้นัมเบอร์”  

          นอกจากนี้ยังเป็นการหยุดสถิติห่างหายจากการคว้าแชมป์ 679 วันได้สำเร็จ โดยโปรหนุ่มจากแคลิฟอร์เนีย เข้าร่วมแข่งขันที่วัลฮาลลา กอล์ฟคลับ ด้วยฟอร์มที่ดีหลังได้รองแชมป์รายการเวลส์ ฟาร์โก แชมเปียนชิพ ในสัปดาห์ก่อนหน้า และเมื่อพิจารณาจากสถิตินับตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาล 2022-2023 ชาฟเฟเล ทำผลงานจบใน 10 อันดับแรก 20 รายการ รั้งอันดับสอง เป็นรองเพียง สกอตตี เชฟฟ์เลอร์ นักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกที่ทำได้ 27 ครั้ง

          การคว้าแชมป์พีจีเอ แชมเปียนชิพ ยังเพิ่มโอกาสในการเป็นตัวแทนทีมสหรัฐอเมริกา ร่วมชิงชัยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2024 ที่กรีงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งชาฟเฟเลเป็นเจ้าของเหรียญทองคนล่าสุดด้วย โดยในการแข่งขันที่วัลฮาลลา กอล์ฟคลับ ชาฟเฟเลไม่เสียโบกี้เลยในช่วง 9 หลุมแรก เป็นนักกอล์ฟที่ทำเบอร์ดี้สูงสุด 25 เบอร์ดี้ และมีสถิติตีออนกรีนอินเรกูเลชั่น 50 จาก 72 หลุม สถิติ Strokes Gained: Approach The Green +7.81 ดีที่สุดอันดับ 3 ตลอดการเล่นอาชีพของเจ้าตัว เขาทำ 7 เบอร์ดี้ในวันอาทิตย์ และจาก 7 ครั้งมีครั้งเดียวที่เป็นการพัตต์เบอร์ดี้ในระยะ 12 ฟุต พิสูจน์ให้เห็นถึงการตีที่แม่นยำ

ซานเดอร์ ชาฟเฟเล (ภาพ: Getty Images)

แม็คอิลรอย ครองแชมป์เวลส์ ฟาร์โก สมัยที่ 4

รอรี แม็คอิลรอย ยอดโปรกอล์ฟจากไอร์แลนด์เหนือ คว้าแชมป์เวลส์ ฟาร์โก แชมเปียนชิพ สมัยที่ 4 พร้อมรั้งอันดับ 1 สถิติตีไกลของสนามนี้ และรั้งอันดับ 2 สถิติตีออนกรีนอินเรกูเลชัน โดยมากกว่า 89 เปอร์เซนต์ของการไดรฟ์มีระยะเกิน 300 หลา เป็นอันดับ 2 ของตำแหน่งแชมป์เวลส์ ฟาร์โก แชมเปียนชิพ รองจากสถิติ 96.1 เปอร์เซนต์ที่เจ้าตัวทำไว้เมื่อคราวได้แชมป์ในปี 2021 ขณะเดียวกัน แม็คอิลรอยยังรั้งอันดับ 4 สถิติ  putts per green in regulation และสถิติรวมอยู่อันดับ 7

          ชัยชนะครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการคว้าแชมป์ครั้งที่ 4 ที่ชาร์ล็อตต์ แต่ยังเป็นแชมป์พีจีเอทัวร์รายการที่ 26 ในอาชีพของโปรกอล์ฟจากไอร์แลนด์เหนือรายนี้ ติดอันดับ 11 ร่วมของสถิติทำเนียบแชมป์สูงสุดตลอดกาลของพีจีเอทัวร์เท่ากับ เฮนรี พิคาร์ด โดยในออกสตาร์ตรอบสุดท้ายวันอาทิตย์ แม็คอิลรอย มีสกอร์ตามหลัง ซานเดอร์ ชาฟเฟเล อยู่หนึ่งสโตรก และมาเร่งเครื่องในช่วง 9 หลุมหลัง ทำ 2 อีเกิ้ล ซึ่งเป็นครั้ง  3 เท่านั้นที่แชมป์รายการนี้ทำได้ในการระบบการเก็บสถิติ ShotLink 

          ในหลุมที่ 18  แม็คอิลรอยแอพโพรชตกน้ำด้านซ้ายของกรีน และแม้ปิดฉากด้วยดับเบิ้ลโบกี้ ก็ยังเอาชนะคู่แข่ง 5 สโตรก ซึ่งเป็นสถิติชนะห่างมากที่สุดในการเล่น 72 หลุมของพีจีเอทัวร์ นับตั้งแต่ปี 2003

          โดยในการแข่งขันสองวันสุดท้าย แม็คอิลรอยมีค่าเฉลี่ย  Strokes Gained: Total 13.01 สโตรก ดีกว่าผู้ที่รั้งอันดับสอง 3 สโตรก รวมทั้งทำสกอร์รวมสูงสุดในสองรอบสุดท้าย 10 อันเดอร์พาร์ และรั้งอันดับหนึ่ง Strokes Gained: Tee to Green  +8.65  และอันดับ 4  Strokes Gained: Putting  +4.35

เพนดริธ ชนะเลิศรายการเดอะ ซีเจ คัพ ไบรอน เนลสัน

ความหวังเข้าร่วมแข่งขันโอลิมปิกและเพรสซิเดนส์ คัพ ของเทย์เลอร์ เพนดริธ มีลุ้นเป็นจริงขึ้น หลังเจ้าตัวทำเบอร์ดี้ที่หลุม 72 พร้อมคว้าแชมป์พีจีเอทัวร์รายการแรกได้สำเร็จในศึก เดอะ ซีเจ คัพ ไบรอน เนลสัน แต่การแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่งดังกล่าวก็ดุเดือดเช่นกัน เทย์เลอร์ กลายเป็นนักกอล์ฟจากแคนาดาคนที่ 2 ที่ได้แชมป์ในปีนี้ และเป็นคนที่ 5 ในสองฤดูกาลที่ผ่านมา

          เพนดริธ ทำผลงานได้ดีในหลุมพาร์ 4 ทำได้ 11 อันเดอร์พาร์ และทำสกอร์รวมในแข่งขันสองวันสุดท้ายดีที่สุดในอาชีพของเขาที่ 130 โดยตี 63 ในวันเสาร์ รวมถึงการทำอีเกิ้ลติดต่อกันสองหลุม และตลอดการแข่งขันสี่วันที่สนามทีพีซี เครก แรนซ์ เขาเสียโบกี้ 3 หลุม  

          ขณะเดียวกัน โปรกอล์ฟจากแคนาดา ซึ่งลงเล่นที่สนามทีพีซี เครก แรนซ์ ครั้งแรก รับมือกับความกดดันในการเบียดลุ้นแชมป์ช่วงสุดสัปดาห์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในการตี 130 ในสองรอบสุดท้าย เพนดริธขึ้นนำหรือนำร่วมตลอดยกเว้นเมื่อเข้าสู่การแข่งขันหลุมที่ 71 เขาโดน เบน โคห์ลส์ ที่เก็บเบอร์ดี้หลุมนี้พลิกแซงหนึ่งสโตรก แต่กลับมาชนะในหลุมที่ 72 พาร์ 5 หลังทำเบอร์ดี้ ขณะที่โคห์ลส์ ออกดับเบิ้ลโบกี้

เทย์เลอร์ เพนดริธ (ภาพ: Getty Images)

กอทเทอร์อัพ ประเดิมคว้าแชมป์ไมร์เทิล บีช คลาสสิก

ในขณะที่ รอรี่ แม็คอิลรอย คว้าแชมป์ด้วยการเอาชนะคู่แข่ง 5 สโตรก ที่ชาร์ล็อตต์ คริส กอทเทอร์อัพ ด้วยการระเบิดฟอร์มร้อนแรงในสองวันสุดท้ายของแข่งขันรายการไมร์เทิล บีช คลาสสิก ที่จัดครั้งแรก  ทำสกอร์ทิ้งห่างจากที่นำอยู่หนึ่งสโตรก ออกไปเป็น  6 สโตรก ด้วยผลงานการตี 65 และ 67 ในช่วงสุดสัปดาห์ กลายเป็นนักกอล์ฟคนที่ 7 ที่ชนะเลิศรายการพีจีเอทัวร์ครั้งแรกในปี 2024 ซึ่งเป็นการลงเล่นรายการที่ 27 ในทัวร์ของกอทเทอร์อัพ 

          อาวุธเด็ดในการพิชิตแชมป์ที่ดูนส์ คลับ ของกอทเทอร์อัพคือพัตเตอร์ มีค่าเฉลี่ย Strokes Gained: Putting 7.48  สโตรก เป็นสถิติสูงสุดอันดับ 3 ของตำแหน่งแชมป์พีจีเอทัวร์ในปี 2024 และสถิติการพัตต์เฉลี่ยรั้งอันดับ 6 และสถิติ putts per green in regulation อยู่อันดับ 8

          ในสนามนี้กอทเทอร์อัพ ทำไป 29 เบอร์ดี้หรือดีกว่า มากกว่าสถิติดีที่สุดของตัวเองก่อนหน้านี้ 6 เบอร์ดี้ โดยทำได้ในการแข่งขันรายการจอห์น เดียร์ คลาสสิค 2022 ซึ่งเขาจบอันดับ 4 ร่วม

          กอทเทอร์อัพทำได้เยี่ยมในการเล่น 9 หลุมหลัง เก็บแต้มได้ 15 อันเดอร์พาร์ เป็นที่ 1 ของสนามนี้ และยังรั้งอันดับ 1 ของสถิติ Strokes Gained: Total  +10.81 และ Putting +7.01

ไรลีย์ชนะเชฟฟ์เลอร์ในศึกชาร์ลส์ ชวาบ ชาลเลนจ์

เดวิส ไรลีย์ ลงเล่นรอบสุดท้ายกลุ่มเดียวกับ สกอตตี เชฟเฟลอร์ โปรกอล์ฟมือหนึ่งของโลก แต่ไรลีย์ ไม่เกรงกลัว เอาชนะไป 5 สโตรก ในการแข่งขันรายการชาร์ลส์ ชวาบ ชาลเลนจ์ และเป็นการคว้าแชมป์ประเภทบุคคลครั้งแรกในเวทีพีจีเอทัวร์ด้วย หลังจากก่อนหน้านี้จับคู่กับ นิค ฮาร์ดี คว้าแชมป์ซูริค คลาสสิค ออฟ นิวออร์ลีนส์ ในปี 2023

          ไรลีย์ รั้งท็อป 5 ของ 6 สถิติด้าน Strokes Gained โดยนำจ่าฝูง  Approach the Green (+1.98), Tee to Green (+2.86) และ Total (+4.33) ซึ่งเป็นสถิติดีที่สุดในอาชีพของไรลีย์ นอกจากนี้เขายังครองอันดับ 1 ร่วมในผลงานการเล่นที่หลุมพาร์ 3 และพาร์ 4 มีค่าเฉลี่ย  4.13  และ 10.18  ช็อตในสนามนี้ ตามลำดับ

          โปรกอล์ฟหนุ่มวัย 28 ปี ยังทำผลงานได้โดดเด่นในการเล่น 3 หลุมสุดท้าย ทำไป 7 เบอร์ดี้ เสียเพียงโบกี้เดียว มีสถิติค่าเฉลี่ยเป็นผู้นำของทัวร์นาเมนท์นี้ที่ 6.09 ช็อต ขณะที่ฟอร์มการพัตต์ก็ทำได้เยี่ยมเช่นกัน รั้งอันดับ 1 สถิติ  putts per green in regulation และสถิติการพัตต์ระยะ 10 ฟุต คิดเป็น  98.51 เปอร์เซนต์

          ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ไรลีย์ทำอันดับพุ่งพรวดทั้งในตารางคะแนนเฟดเอ็กซ์คัพ ที่ขยับจาก 151 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 50 และอันดับโลกจาก 270 มาอยู่ที่อันดับ 78 ของโลก